แพทย์แผนจีน
นพ.ภาสกิจ วัณนาวิบูล
จากแนวคิดแพทย์แผนจีนสู่การแพทย์ยุคควอนตัม
ตอนที่ ๑ พลังชี่กับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของสรรพสิ่ง
自中医学概念至量子医学
气与宇宙的电磁场
บทความต่อไปนี้ผู้เขียนพยายามจะอธิบายแนวคิดของแพทย์แผนจีนจากคัมภีร์โบราณ จากมุมมอง ประสบการณ์ส่วนตัวและความรู้วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เพื่อให้เห็นความคิดทางปรัชญาที่ลึกล้ำของแพทย์แผนจีนและแนวโน้มของวิทยาศาสตร์การแพทย์ยุคใหม่ที่จะเกิดขึ้นหรือกำลังเกิดขึ้น ซึ่งจะเปลี่ยนแนวคิดการดูแลสุขภาพในอนาคต
แนวคิดพื้นฐานเรื่องพลังชี่ ( 气的基本概念)
แพทย์แผนจีนกล่าวถึงพลังชี่ ( 气) ไว้มากมาย เพราะพลังชี่คือรากฐานของสรรพสิ่ง การอธิบายปรากฏการณ์ การเกิดการเปลี่ยนแปลง การพัฒนา การดับสูญของสรรพสิ่งก็ใช้เรื่องของพลังชี่มาอธิบายทั้งสิ้น
- สรรพสิ่งในจักรวาลประกอบด้วยสิ่งพื้นฐานสุดที่เรียกว่า ชี่ (气是构成宇宙的最基本物质)
- สรรพสิ่งมีความเป็นหนึ่งเดียวมีสื่อกลางเชื่อมสัมพันธ์กันด้วยชี่(精气是天地万物相互联系的中介)
- สรรพสิ่งเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงโดยการผลักดันของพลังชี่ (พลังยิน-หยาง)
- การดำรงอยู่ของสสารหรือสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของพลังชี่เท่านั้น
- ในสิ่งว่างเปล่า (ภาวะไร้รูป) แท้ที่จริงมีพลังชี่ของฟ้าดินปกคลุมอยู่รอบ
- จิตเป็นพลังชี่รูปหนึ่งที่สามารถเชื่อมโยงกับภาวะไรรูป ความว่างเปล่า จักรวาล
- ภาวะไร้รูปลักษณ์ (无形 –无极 ) กับภาวะที่มีรูปลักษณ์ (有形 – 太极 ) เป็นสิ่งเดียวกัน แต่อยู่คนละภาวะ
หยางเปลี่ยนเป็นพลัง (ไร้รูปลักษณ์) ยินก่อเกิดรูปลักษณ์ (阳化气,阴成形 )
พลังหยางเป็นพลังร้อน มีลักษณะกระตุ้นเผาผลาญ ทำให้เกิดการสลายสสารไปเป็นพลังงานที่มองไม่เห็น เช่น น้ำแข็ง(มีรูปลักษณ์)เมื่อได้รับความร้อนจะเปลี่ยนเป็นน้ำและไอน้ำ(ไร้รูปลักษณ์) และพลังยินเป็นพลังแห่งความเย็น มีลักษณะสงบ ยับยั้ง ทำให้เกิดการรวมตัว ทำให้พลังหรือสิ่งที่ไร้รูปลักษณ์ สามารถก่อตัวเป็นสิ่งที่มองเห็นมีรูปลักษณ์ เช่น ไอน้ำ เมื่อมากระทบความเย็นจะก่อตัวเป็นหยดน้ำ และสามารถเกาะตัวเป็นน้ำแข็งได้
คนผอมมักจะมีภาวะหยางมาก คนอ้วนมักมีภาวะยินมาก เพราะพลังหยางจะเผาผลาญทำให้รูปลักษณ์สลายไป และพลังยินจะทำให้รวมตัวก่อเกิดภาวะรูปลักษณ์มากขึ้น
กลศาสตร์ควอนตัม (quantum mechanics) เป็นสาขาหนึ่งในทฤษฎีรากฐานของฟิสิกส์ถูกใช้แทนที่กลศาสตร์นิวตัน (Classical Physics) และ กลศาสตร์ไฟฟ้าของแม็กซ์เวลล์ (หรือทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า) ซึ่งเป็นกลศาสตร์ดั้งเดิมที่ไม่สามารถใช้อธิบายปรากฏการณ์ในวัตถุที่มีขนาดเล็กกว่าอะตอม
ทฤษฎีควอนตัมเป็นระบบความรู้ และแนวคิดที่ทันสมัยที่สุดของมนุษย์เราเกี่ยวกับโครงสร้างและพฤติกรรมของอนุภาค ในระดับอะตอม และเล็กกว่าอะตอม รวมทั้งอันตรกิริยาของอนุภาคดังกล่าวกับพลังงานในรูปแบบต่างๆ ภายใต้สภาวะเงื่อนไขที่หลากหลาย
อนุภาคประพฤติตัวเหมือนคลื่นและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก็ประกอบไปด้วยกลุ่มก้อนของพลังงาน โดยพลังงานของแต่ละก้อนนั้นขึ้นกับความถี่ของคลื่นนั้น เรียกว่า ทวิภาพของคลื่นและอนุภาค ซึ่งนับเป็นแนวคิดพื้นฐานที่สุดในทฤษฏีควอนตัม
อิเล็กตรอน มีคุณสมบัติทวิภาพเป็นทั้งตัวคลื่นและอนุภาพ ในสภาวะคลื่นแสดงตัวเป็นพลังงาน มีการเคลื่อนไหว มีความถี่ ในสภาวะอนุภาคแสดงตัวเป็นสสาร ทั้งสสารและคลื่นแท้จริง คือสิ่งเดียวกัน เสมือนเหรียญเดียวกัน แสดงได้ทั้งเป็นหัวหรือเป็นก้อย แต่ไม่สามารถแสดงออกพร้อมกันทั้ง 2 หน้าของเหรียญได้
การเคลื่อนไหวระดับอิเล็กตรอนในอะตอม หรือการเคลื่อนไหวของวัตถุในระดับควอนตัม (quantum mechanics) เป็นการอธิบายที่ล้ำลึก สรรพสิ่งในจักรวาลประกอบไปด้วยยินหยางด้านสองด้านที่ตรงข้ามขัดแย้งและพึ่งพากัน (宇宙间一切事物都是由互相对立又互相依存的两个方面构成的。这两个方面就称为阴阳) สำหรับอนุภาคหนึ่ง ๆ จะต้องมีปฏิอนุภาค เป็นคู่(ลักษณะตรงข้าม)อยู่ด้วยเสมอ ซึ่งในกรณีของอิเล็กตรอนนั้นปฏิอนุภาคได้แก่ "อิเล็กตรอนบวก" หรือ โพสิตรอน( โดยต่อมาในปี ค.ศ. 1932 ก็มีการตรวจพบโพสิตรอนในรังสีคอสมิกที่ผิวโลก) การเคลื่อนไหวของอนุภาคของอะตอมจึงประกอบเป็นพื้นฐานของวัตถุหรือสรรพสิ่งในจักรวาล (精气是构成宇宙的本原) วิทยาศาสตร์ยุคใหม่ไม่ได้มองการเชื่อมสัมพันธ์ของสรรพสิ่งแบบเส้นตรง (Linear Patterns) หรือในเชิงวัตถุที่ต้องมีผลกระทบต่อกันอย่างเป็นรูปธรรมตรงไปตรงมา(มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนคาดการณ์ได้) แต่มองว่าวัตถุหรือสรรพสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งธรรมชาติรอบตัว มีการเคลื่อนไหวของอนุภาคอิเล็กตรอนที่สามารถแผ่คลื่นรังสี ความถี่ออกจากตัวมันปฏิสัมพันธ์ต่อกัน แบบไม่ใช่เชิงเส้น(non-linear pattern) ไม่เป็นตรงไปตรงมา ซับซ้อนคาดการณ์แน่นอนไม่ได้
สรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียวมีสื่อกลางเชื่อมสัมพันธ์กันด้วยชี่(精气是天地万物相互联系的中介)
ความเข้าใจของแพทย์แผนจีน “ฟ้า มนุษย์ ดิน เป็นหนึ่งเดียว ทฤษฎีปัญจธาตุของแพทย์แผนจีนได้เชื่อมโยงสรรพสิ่งในธรรมชาติเชื่อมโยงกับมนุษย์ลึกซึ้ง
เช่น ฤดูใบไม้ผลิ, สีเขียว, รสเปรี้ยว, ลม, การทำงานของตับ เนื้อเยื่อเอ็น อารมณ์โกรธ พลังธรรมชาติที่เริ่มต้นการเกิดใหม่ในรอบปี การขับเคลื่อนของพลังสู่เบื้องบน อวัยวะรับสัมผัสดวงตา ฯลฯ
ธรรมชาติในฤดูกาลต่างๆ เป็นพลังที่มีลักษณะของพลังชี่ไม่เหมือนกัน พลังแสงอาทิตย์ที่ส่องมายังโลก มีปริมาณรังสีความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในปริมาณแตกต่างกันไปของฤดูกาลต่างๆ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายย่อมตกอยู่ภายใต้อิทธิพลที่ชักนำด้วยพลังแห่งแสงอาทิตย์ เช่นเดียวกันอวัยวะต่างๆ ก็มีการปรับตัวเพื่อสอดรับกับพลังสนามแม่เหล็กของแสงอาทิตย์และโลก
ถ้าอธิบายสรรพสิ่งมีการเคลื่อนไหวของอนุภาคและคลื่นประกอบเป็นพื้นฐานของวัตถุในจักรวาล ดังนั้นสรรพสิ่งรอบตัวมนุษย์จะมีการการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของมัน ตัวมนุษย์เองก็แผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่ในช่วงค่าที่แน่นอนค่าหนึ่ง (อวัยวะต่างๆ ก็มีการแผ่คลื่นรังสีแตกต่างกัน เช่น หัวใจจะปล่อยคลื่นความถี่ 700-800 Hz) สัตว์, ต้นไม้, แมลง, วัตถุ, เชื้อโรค, สารเคมี ก็มีการส่งความถี่เฉพาะตัวของมันออกมาเช่นกัน
คนบางคนเจอสีบางสีอาจถูกโฉลก กินอาหารบางอย่างรู้สึกชอบ เจอคนบางคนรู้สึกถูกใจ เจอสถานที่บางแห่งอาจรู้สึกไม่ถูกใจ สิ่งเหล่านี้สามารถอธิบายด้วยคลื่นความถี่ของสิ่งนั้นกับสิ่งที่ปฏิสัมพันธ์ด้วยว่าคลื่นความถี่สอดรับกันหรือขัดแย้งกัน
การเกิดโรคภัยไข้เจ็บของคนเรา แต่เดิมอาจจะอธิบายด้วยทฤษฎีเชื้อโรค (Germ theory) ถ้าคนได้รับเชื้อโรคชนิดหนึ่งเข้าไป จะทำให้เกิดโรคที่มีลักษณะและอาการเหมือนกัน
แต่ปัจจุบันจะพบว่า เชื้อโรคเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งของการส่งคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มีผลกระทบต่อร่างกายเท่านั้น คลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า หรือบางคนอาจเรียกว่าแสงออร่า (Aura) ของร่างกาย จิตใจ และคลื่นสนามแม่เหล็กของสิ่งแวดล้อม อาหาร อากาศ ล้วนเป็นปัจจัยอื่นๆ ล้วนมีผลกระทบต่อการเกิดโรคไม่มากก็น้อย
เป็นภูมิปัญญาและสิ่งมหัศจรรย์มากที่แพทย์แผนจีนสมัยโบราณสามารถสรุปกฎเกณฑ์เหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรมและเชื่อมโยงอวัยวะเนื้อเยื้อต่างๆ ของร่างกายกับสรรพสิ่งทั้งหลาย แล้วนำมาชี้นำการปฏิบัติตัวให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการมีสุขภาพที่แข็งแรงปราศจากโรค
สิ่งว่างเปล่า (ภาวะไร้รูป) แท้ที่จริงมีพลังชี่ของฟ้าดินปกคลุมอยู่รอบ (พลังสนามแม่เหล็ก หรือออร่ารอบสรรพสิ่ง)
สิ่งล้ำค่า ๓ ประการของร่างกาย คือ จิง ชี่(พลัง) เสิน(ความมีชีวิตชีวาหรือแสงออร่า)(人身之“三宝 ”是精、气、神之间的关系)
จากภาพถ่าย Kirlian พบว่าสิ่งมีชีวิตจะมีรัศมีเรืองแสงเกิดขึ้นเหมือนรัศมี เมื่อชีวิตดับสูญ แสงเหล่านี้ก็จะหายไป
แพทย์จีนเรียกรัศมี ความมีชีวิตชีวา เปล่งประกายออกมาโดยเฉพาะบริเวณใบหน้าว่า เสิน (神 ) ซึ่งบ่งบอกพลังชีวิตที่สำคัญอันดับแรกของร่างกาย
เมื่อแพทย์จีนพบผู้ป่วยจะต้องสังเกตประกายแสงความมีราศีของผู้ป่วยเพื่อรับรู้ถึงภาวะพลังชี่หรือพลังชีวิต พลังสนามแม่เหล็ก หรือออร่าก่อน
พลังออร่า มีหลายชั้น ชั้นที่ติดกับร่างกายมากที่สุดจะบ่งบอกถึงสภาพความแข็งแรงของร่างกาย ส่วนชั้นที่อยู่ห่างออกไปบ่งบอกถึงอารมณ์จิตใจและจิตวิญญาณแต่ละคน สภาพร่างกายของแต่ละคน เมื่อถ่ายด้วยกล้องถ่ายภาพ ออร่าจะแสดงจุดเด่นของสีต่างๆ กัน ปะปนอยู่กับสภาพร่างกาย อารมณ์ และจิตวิญญาณในขณะนั้น
พลังออร่าของสรรพสิ่งรอบตัวเรา มีการแพร่รังสีแลกเปลี่ยนกันตลอดเวลา ทุกอย่างเชื่อมสัมพันธ์ด้วยสนามแม่เหล็กหรือชี่นั่นเอง
จิตของคนเราก็เป็นพลังงานชี่รูปหนึ่ง เราสามารถเชื่อมโยงจิตของเราไปยังคนอื่นที่อยู่ห่างไกล.... สามารถเชื่อมโยงกับวัตถุสิ่งของ สรรพสิ่งรอบตัวได้เช่นกัน รวมถึงจักรวาลได้
การวินิจฉัยการป้องกันรักษาโรคกับการปรับพลังลมปราณของร่างกายของแพทย์แผนจีน
การฝังเข็ม รมยา การใช้สมุนไพรจีน การเลือกรับประทานอาหารยินหยาง การฝึกลมปราณ การดำเนินชีวิตที่เป็นธรรมชาติ ล้วนเป็นวิถีการปรับพลังชี่หรือพลังยินหยางหรือปรับสมดุลของความถี่ สนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เหมาะสมนั่นเอง
การฝังเข็ม : อวัยวะภายในเชื่อมสัมพันธ์กับส่วนต่างๆ ด้วยเส้นลมปราณ เส้นลมปราณซึ่งเป็นทางเดินของพลังชี่ เชื่อมสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจากอากาศหรือการการเจ็บจากภายนอก บนเส้นลมปราณจะส่งผลต่ออวัยวะภายในได้ และเกิดการเปลี่ยนแปลงของคลื่นการแผ่รังสีสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของร่างกาย
การเสื่อมถอยหรือเกิดเจ็บจากอวัยวะภายในก็มีผลกระทบต่อเส้นลมปราณที่มันควบคุม ทำให้เส้นลมปราณที่ขับเคลื่อนอยู่ภายนอกบริเวณลำตัว แขนขา มีจุดอ่อน ง่ายต่อการถูกจู่โจมรุกรานจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของสิ่งแวดล้อมต่างๆ ภายนอกได้เช่นกัน เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ความแห้ง ความชื้นซึ่งรวมถึงเชื้อโรคต่างๆ
การได้รับคลื่นเสียง, คลื่นโทรศัพท์, ไมโครเวฟ, ภาวะความว้าวุ่นตรึงเครียด บรรยากาศในครอบครัว, ความร้อน ความชื้น ความเย็น หรือสิ่งแวดล้อม สารเคมี แสง สี ดนตรีต่างๆ ในรูปแบบที่ไม่สอดคล้องและเป็นเวลานาน จะทำให้ภาวะสมดุลของเลือดและพลังติดขัด หรือรบกวนออร่าหรือพลังชีวิต(คลื่นความถี่)ของร่างกายทำให้ง่ายต่อการเกิดโรค
การฝังเข็มจึงเป็นวิธีการหนึ่งในการปรับสมดุลทั้งในแง่ขับพลังส่วนเกินที่มากระทำต่อร่างกาย และปรับเสริมพลังชีวิตของร่างกายให้กลับสู่สมดุล การรักษาจึงต้องอาศัยหลักคิด วิธีการและเทคนิค รวมถึงพลังชี่ของผู้รักษาที่ต้องมีทั้งพลังกาย พลังจิต (พลังออร่าที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ) การรักษาจึงจะได้ผลดี
คนที่ร่างกายไม่แข็งแรง พลังจิต พลังชีวิตไม่ดีพอ เมื่อรักษาผู้ป่วยอาจได้รับพลังชี่ที่ไม่ดีของผู้ป่วยได้เหมือนกัน ดังนั้นจะเห็นว่าแพทย์ที่ต้องแบกรับภาระการดูแลคนไข้จำนวนมาก และอาการหนักเป็นเวลานานๆ ถ้าพลังชีวิตไม่แข็งแรงพอ ก็จะป่วยไข้ได้ง่าย
การใช้สมุนไพรจีน อาหาร คือการใช้พลังชี่ร้อนเย็นปรับสมดุลพลัง(ความถี่)
อาหารและสมุนไพรมีแหล่งที่มาเดียวกัน มีฤทธิ์ทั้ง 4 (ร้อน อุ่น ค่อนเย็น เย็น) และรสทั้ง 5 (เปรี้ยว, ขม, หวาน, เผ็ด, เค็ม) มีผลให้เกิดพลังมากหรือน้อย (คือสมุนไพรแต่ละชนิดมีคลื่นความถี่ที่แตกต่างกันนั่นเอง)
เช่น โสมเกาหลี เขากวางอ่อน มีฤทธิ์ร้อนให้พลัง จะมีคลื่นความถี่ธรรมชาติสูง รับประทานแล้วสามารถปรับสภาพพลัง ความร้อนหรือความถี่ของร่างกาย
อาหารและสมุนไพรยังมีผลทำให้กลไกพลังไปทิศทางใดและเชื่อมสัมพันธ์กับอวัยวะภาย เช่น สมุนไพรสีเขียว รสเปรี้ยวจะสอดรับกับเป็นอวัยวะตับ มีสรรพคุณ นำยาสู่เข้าเส้นลมปราณตับ และควบคุมการขับเคลื่อนพลังตับไม่ให้มากเกินไป
การเลือกสมุนไพรและอาหาร จึงมีความสำคัญใน 2 ด้าน
- 1. ใช้พลังของมันในลักษณะตรงข้ามเพื่อขับพลังแปลกปลอม (เสียชี่ ) ที่มากเกินไป และรบกวนร่างกาย เรียกว่า การขับระบายเสียชี่ ยาที่ใช้จึงมีลักษณะด้านตรงข้ามกับสิ่งก่อโรค
- 2. ใช้พลังของมันในลักษณะสร้างเสริมพลังอวัยวะต่างๆ ที่อ่อนแอ หรือเรียกว่าบำรุง คือการใช้คลื่นความถี่ของยาตามลักษณะที่สอดคล้องกับความถี่ธรรมชาติเข้าไปสร้างเสริมอวัยวะภายในนั้นๆ
สรุปอาหารและสมุนไพรเป็นรูปแบบพลังธรรมชาติที่มีความถี่จำเพาะของมันในการสร้างเสริมหรือให้พลังชี่ในปริมาณที่แตกต่างกัน เพื่อใช้ในการปรับสมดุลพลังชี่ของร่างกาย
การฝึกพลังลมปราณ
การฝึกพลังลมปราณ คือ การประสานการหายใจ การเคลื่อนไหวร่างกายและสงบจิตใจ ที่มีลักษณะวิธีการเฉพาะตามแต่สำนัก จุดมุ่งหมายเพื่อขับเคลื่อนการไหลเวียนพลังร่างกาย ให้สอดรับกับธรรมชาติ
ภายใต้จิตสมาธิเท่านั้น ที่ร่างกายมนุษย์จะสามารถเชื่อมโยงพลังในร่างกายให้เชื่อมสัมพันธ์กับพลังธรรมชาติได้ เมื่อพลังชี่ของร่างกายสอดรับกับจังหวะการเปลี่ยนแปลงของพลังธรรมชาติ ร่างกายกับฟ้าดินเป็นหนึ่งเดียวกัน สุขภาพก็จะแข็งแรง
จะเห็นได้ว่าพลังชี่ ไม่ใช่มีนัยยะเพียงแค่สิ่งขับเคลื่อนการเคลื่อนไหว ความร้อน ความเย็นและการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น แต่พลัง ยังเป็นอนุภาค (สสาร) ในพลังยังมีข้อมูลข่าวสาร(气是流动着的世界三要素"信息,能量,物质"混合统一体)เป็นเหตุผลที่ทำให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างคลื่นและพลังงานและการเชื่อมสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง รวมถึงการทำงานเซลล์ทุกเซลล์ ระบบทุกระบบ ส่วนต่างๆของร่างกายล้วนอยู่ในภายใต้อิทธิพลของคลื่นพลังข้อมูลข่าวสารทั้งสิ้น