เรื่อง : นพ.ภาสกิจ วัณนาวิบูล
สามหลวงสหคลินิก
บทบาทของ Bioresonance Therapy กับโรคมะเร็ง
生物共振疗法作用与癌症扶助治疗
ร่างกายมนุษย์แบ่งเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์เก่าที่เสื่อมชราหรือตายไป เพื่อรักษาระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆให้อยู่ในภาวะปกติ เซลล์ต่างๆของร่างกายสามารถแบ่งตัวได้อย่างมีการควบคุม และมีขอบเขตจำกัด ในขณะที่เซลล์มะเร็งมีการแบ่งตัวต่อเนื่องอย่างไร้การควบคุม เซลล์มะเร็งจะแย่งเอาอาหาร จากเซลล์ปกติ และขับสารพิษออกมา ทำให้เกิดผลตามมามากมาย ยิ่งการแบ่งตัวมากขึ้น จนถึงขั้นกระจายไปอวัยวะอื่นๆ ยิ่งทำให้ร่างกายอ่อนแอ เบื่ออาหาร เม็ดเลือดขาวต่ำลง มีไข้ การทำงานของอวัยวะต่างๆผิดปกติ
การรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบัน ได้แก่การผ่าตัด การฉายแสง เคมีบำบัด รวม 3 ด้านหลักด้วยกัน ในการศึกษาวิจัยพบว่า แม้จะผ่านการรักษาเต็มพิกัดด้วย 3 วิธีข้างต้น ยังคงมีเซลล์มะเร็งหลงเหลืออยู่ 10,000 ตัว – 100,000 ตัว ที่พร้อมจะทำให้เกิดมะเร็งขึ้นใหม่ หรือไม่ก็กระจายไปสู่อวัยวะอื่น นอกจากนี้ ผลจากการรักษาดังกล่าวยังทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร, การกดไขกระดูก, ผมร่วง,ทำลายระบบประสาท และทำลายอวัยวะภายต่างๆและก่อพิษสะสมมากมายภายในร่างกาย
การรักษาด้วย 3 วิธีข้างต้นได้ผลดีกับมะเร็งในระยะเริ่มแรกที่ตรวจพบ และในช่วงที่ผู้ป่วยยังมีร่างกายแข็งแรง
Bioresonance Therapy ถูกนำมาหนุนเสริมการรักษามะเร็ง และการป้องกันมะเร็งด้วยแนวคิดที่ว่า
1.ร่างกายมนุษย์มีเซลล์มะเร็งดำรงอยู่ในทุกคน เป็นการต่อสู้ของการดำรงอยู่ของเซลล์ปกติและเซลล์มะเร็ง
2.ภาวะความเป็นกรด, ขาดอิเลคตรอนในการเข้าไปปรับสภาพของอนุมูลอิสระ, ภาวะขาดออกซิเจนของร่างกายล้วน เป็นภาวะที่เอื้ออำนวยต่อการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง
3.เงื่อนไขสำคัญยิ่งของการก่อเกิดมะเร็ง คือภาวะอ่อนแอของร่างกาย และระบบภูมิคุ้มกัน จากสาเหตุต่างๆ เช่น โรคติดเชื้อเรื้อรัง การเสื่อมถอยของร่างกายอย่างต่อเนื่อง
บทบาทของ Bioresonance therapy ในการรักษาโรค
Bioresonance therapy ใช้พื้นฐานวิชาควอนตัมฟิสิกส์ ( 物理量子学) คือการปรับเปลี่ยนการสั่นของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ในการปรับสภาพสมดุลของร่างกาย
1.ขจัดพิษออกจากอวัยวะภายใน
2.ขจัดอนุมูลอิสระ
3.ปรับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
4.ปรับสภาพประจุไฟฟ้าของเซลล์และเพิ่มออกซิเจนแก่เซลล์
5.ปรับภาวะกรด-ด่างของร่างกาย ภาวะยินหยางของร่างกาย
6.ปรับและซ่อมแซมภาวะเสื่อมถอยของเซลล์ต่างๆ
การศึกษาวิจัยพบว่า พลังงานของร่างกายถูกนำไปใช้ในด้านต่างๆคือ
-ขับพิษสิ่งแปลกปลอม ใช้พลังงาน 80% ของร่างกาย
-ใช้ทำงานระบบภูมิคุ้มกัน 5%
-ใช้ทำงานระบบประสาทส่วนกลาง 10%
-ใช้ในการทำงานของอวัยวะต่างๆ 5%
ดังนั้น จะพบว่าพลังงานส่วนใหญ่ของร่างกายถูกนำไปใช้เพื่อการขับพิษ ถ้าเราช่วยขับพิษให้กับร่างกายมากที่สุด จะทำให้มีพลังสำรองเหลือใช้ในการพักฟื้นร่างกายและการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
ปัจจัยที่สำคัญยิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ การป้องกันการนำเข้าของปัจจัยต่างๆที่ทำให้ก่อเกิดสารพิษภายในร่างกายโดยเฉพาะจากอาหารที่กิน น้ำที่ดื่ม อากาศที่หายใจ อารมณ์เครียดต่างๆ